วิทยุ FM กับการตลาดแบบดั้งเดิม (Traditional Marketing)

  1. เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขวาง: วิทยุ FM สามารถเข้าถึงผู้ฟังในพื้นที่กว้าง โดยเฉพาะในชุมชนที่มีการฟังวิทยุเป็นประจำ ทำให้แบรนด์สามารถสร้างการรับรู้และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า: การโฆษณาผ่านวิทยุมักจะมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าการโฆษณาทางโทรทัศน์หรือสื่อสิ่งพิมพ์ ทำให้เป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
  3. สร้างความน่าเชื่อถือ: การโฆษณาผ่านวิทยุมักถูกมองว่ามีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากผู้ฟังมักจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสถานีวิทยุที่พวกเขาฟังอยู่
  4. สื่อสารแบบทันที: วิทยุสามารถส่งข้อความไปยังผู้ฟังได้ทันที ซึ่งเหมาะสำหรับการโปรโมทกิจกรรมหรือโปรโมชั่นที่ต้องการให้ผู้ฟังรับรู้ในเวลาที่รวดเร็ว




วิทยุ FM เป็นสื่อสำคัญในการโฆษณามายาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการตลาดแบบเดิมๆ ด้วยการมาถึงของสื่อใหม่ วิทยุ FM จึงต้องปรับตัวและสร้างสรรค์เพื่อรักษาความเกี่ยวข้องและประสิทธิผลในภูมิทัศน์ทางการตลาด

ในมุมของงานวิจัยเกี่ยวกับ วิทยุ FM ในการตลาดแบบดั้งเดิม (Traditional Marketing) ได้รับความสนใจจากนักวิจัยหลายท่าน เนื่องจากวิทยุ FM ยังคงเป็นสื่อที่มีบทบาทสำคัญในการเข้าถึงผู้บริโภค แม้ว่าเทคโนโลยีดิจิทัลจะเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น

จากข้อมูลการวิจัยพบว่าตลาดโฆษณาวิทยุแบบดั้งเดิมมีแนวโน้มเติบโต โดยคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 49.62 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2032 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 1.59%. วิทยุ FM ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่สำคัญสำหรับธุรกิจในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านการโฆษณาเสียงและการสนับสนุน




คุณ Thepparat Phimolsathien ได้ตีพิมพ์งานวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง “Guidelines for the adaptation of community radio (Business Type)” เมื่อ ม.ค.2567 มีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้

เป็นงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวของวิทยุชุมชน (เชิงพาณิชย์) ในยุคของการบรรจบกันของสื่อและการเกิดขึ้นของวิทยุดิจิทัล

1. สรุปเนื้อเรื่อง

งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาเรื่องการปรับตัวของวิทยุชุมชนเชิงพาณิชย์ในยุคของการบรรจบกันของสื่อและการเกิดขึ้นของวิทยุดิจิทัล โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการศึกษา:

  • ความสามารถในการปรับตัวของวิทยุชุมชนเชิงพาณิชย์
  • ผลกระทบจากการบรรจบกันของสื่อและวิทยุดิจิทัล
  • การเสนอแผนเตรียมความพร้อมเพื่อให้ธุรกิจวิทยุชุมชนดำเนินต่อไปในยุคดิจิทัล

2. วิธีวิจัย

งานวิจัยนี้ใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยมีการสำรวจความคิดเห็นจากประชาชน 2,000 คนจาก 5 จังหวัดที่มีสถานีวิทยุชุมชนมากที่สุดในแต่ละภาค ได้แก่ นนทบุรี, เชียงใหม่, นครราชสีมา, สุราษฎร์ธานี และชลบุรี นอกจากนี้ยังมีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการวิทยุชุมชนอีก 10 คน

3. เครื่องมือ

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามทั้งแบบปลายปิดและปลายเปิด ซึ่งผ่านการทดสอบความเชื่อถือได้ โดยใช้ค่า Cronbach’s Alpha = 0.97 สำหรับการสัมภาษณ์เชิงลึกนั้นใช้แบบสัมภาษณ์ที่ได้รับการตรวจสอบคุณภาพและวิเคราะห์เชิงเนื้อหาเพื่อสรุปแผนการเตรียมความพร้อม

4. ผลการวิจัย

ผลการวิจัยพบว่า:

  • ประชาชนส่วนใหญ่รู้จักวิทยุชุมชนเชิงพาณิชย์ และมีความเห็นว่าการปรับตัวของวิทยุชุมชนจะต้องมีการพัฒนาความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล
  • การบรรจบกันของสื่อและการเกิดขึ้นของวิทยุดิจิทัลมีผลกระทบต่อรายได้ของวิทยุชุมชน โดยเฉพาะรายได้จากโฆษณาลดลง
  • ผลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกชี้ว่าองค์กรต้องมีการปรับตัวเพื่อเป็นหน่วยงานกำกับดูแลสื่อแบบบรรจบกัน และต้องมีการออกมาตรการสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของวิทยุชุมชน

5. ข้อเสนอแนะ

ข้อเสนอแนะจากงานวิจัย ได้แก่:

  1. การปรับตัวของหน่วยงานกำกับดูแลให้เหมาะสมกับการบรรจบกันของสื่อ
  2. ส่งเสริมการร่วมมือกันระหว่างสื่อมืออาชีพและหน่วยงานกำกับดูแล
  3. ออกมาตรการเพื่อลดต้นทุนและความเสี่ยงของผู้ประกอบการวิทยุชุมชน
  4. ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสถานีวิทยุ
  5. สนับสนุนการพัฒนาความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของผู้ประกอบการ

6. เอกสารอ้างอิง

งานวิจัยนี้อ้างอิงแหล่งข้อมูลหลากหลายทั้งจากงานวิจัยในประเทศและต่างประเทศ เช่น การสำรวจของ NBTC และบทความวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการออกอากาศวิทยุดิจิทัล

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *